UK University Review Vol.4 Durham University
ข้อมูลเรียนต่อปริญญาตรีข้อมูลเรียนต่อปริญญาโท
สวัสดีค่าน้องๆ กลับมาพบกับพี่หนิงอีกแล้วนะคะ วันนี้ได้ฤกษ์งามยามดีมารีวิวมหาวิทยาลัยกันอีกเช่นเคย แต่วันนี้มหาวิทยาลัยที่เราจะมารีวิวกันบอกเลยว่าไม่ธรรมดาค่ะ เพราะเป็นมหาวิทยาลัยที่อันดับสูงมากๆ ติดอันดับ Top 5 ของประเทศอังกฤษในหลากหลายสาขาวิชา และติด Top 100 ของโลกกันเลยทีเดียว ที่สำคัญ ระบบการเรียนการสอนของที่นี่ยังมีความแตกต่างและถือเป็นจุดเด่นที่หาไม่ได้จากมหาวิทยาลัยอื่นๆ อย่ารอช้ากันเลยค่ะ เรามาอ่านรีวิวมหาวิทยาลัยลำดับที่ 10 ของพี่หนิงกันเลย กับ Durham University หรือมหาวิทยาลัยเดอรัมนั่นเอง
Durham University เป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของประเทศอังกฤษ รองจาก Oxford และ Cambridge ค่ะ ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่สมัยกษัตริย์เฮนรี่ที่ 8 ปี 1657 และได้รับการสถาปนาให้เป็นมหาวิทยาลัยเต็มตัวเมื่อปี 1832 เรียกได้ว่าเปิดสอนมาเป็นร้อยกว่าปีแล้ว และยังเป็น 1 ใน 7 มหาวิทยาลัยที่ยังคงระบบการเรียนการสอนแบบ Collegiate System เอาไว้มาจนถึงปัจจุบัน มีทั้งหมด 2 วิทยาเขตใหญ่ๆ คือ Durham City และ Queen Campus
Collegiate System
น้องๆ สงสัยกันไหมคะ ว่าเจ้าระบบ Collegiate นี่คืออะไร ถ้าจะเล่าให้เห็นภาพง่ายๆ ก็คือระบบบ้านแบบในหนังเรื่อง Harry Potter นั่นเองค่ะ ที่นี่จะมีการแบ่งนักศึกษาทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโท ให้อยู่กันเป็นบ้านๆ ซึ่งที่ Durham จะมีทั้งหมด 16 Colleges ด้วยกัน (College ที่ 17 John Snow กำลังสร้างจะแล้วเสร็จในปี 2020 ค่ะ) ตั้งกระจายอยู่ทั่วเมือง Durham ซึ่งแต่ละบ้านก็จะมีความแตกต่างกันไป ตั้งแต่อาจารย์ใหญ่ประจำบ้าน จำนวนนักศึกษาจากหลากหลายคณะ วัฒนธรรมประจำบ้าน หน้าที่ของ College เหล่านี้ ก็คือเป็นบ้านที่อบอุ่นของนักศึกษาแต่ละคนค่ะ เป็นทั้งที่พักอาศัย มีโรงอาหารและ Café มีสนามกีฬาหรือยิมให้ออกกำลังกาย มีส่วน Communal Area ให้มาพักผ่อนหย่อนใจ นักศึกษาที่อยู่ในบ้านเดียวกันส่วนใหญ่ก็จะรู้จักกันหมดค่ะ เพราะได้ทำกิจกรรมร่วมกัน มีตัวแทนนักศึกษา งานเต้นรำประจำปีแล้วก็มีงานกีฬาสีระหว่างบ้านด้วยนะคะ เรียกได้ว่าสมาชิกแต่ละบ้านต้องช่วยเหลือและค่อนข้างที่จะสนิทกันค่ะ แต่กิจกรรมเหล่านี้ก็ไม่ได้บังคับเรานะคะ อยู่ที่ความสมัครใจว่าเราจะเข้าร่วมหรือไม่ สถานะความเป็นสมาชิกของบ้านไหนก็ตาม มันจะติดตัวเราไปตลอดชีวิตเลยล่ะค่ะ อาจารย์ใหญ่ของบ้าน Collingwood College คุณ Joe Elliott กล่าวไว้ว่า หากศิษย์เก่า Durham ได้มาเจอกัน คำถามแรกที่ถามไม่ใช่ว่าเรียนจบสาขาอะไรมา แต่จะถามว่าคุณมาจาก College ไหนนั่นเอง เท่ไปเลยเนอะ
แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าเราควรละเลือกอยู่ College ไหน พี่หนิงขอแนะนำประมาณนี้ค่ะ
- บาง College จะมีหอหญิงต่างหากให้ด้วย เช่นที่ Mary’s College
- บาง College จะมีแค่นักเรียนปริญญาโท เช่นที่ Ustinov College
- College ที่ใหญ่ที่สุดคือ Collingwood College ที่นี่ได้แชมป์กีฬาประจำ ไม่ว่าจะประเภทใดก็ตาม คนเยอะสุด และมีกิจกรรมให้ทำเยอะที่สุด
- ถ้าเลือกไม่ถูก ลองเลือก College ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับตึกเรียนของเราสิคะ
- ราคาค่าหอพักของแต่ละ College ไม่เท่ากัน และมีทั้งแบบ Self-Catered และ Catered ค่ะ
- ถ้าเลือกไม่ถูกจริงๆ มหาวิทยาลัยจะมีตัวเลือกให้เราเลือกว่าอยากได้หอแบบไหน แล้วเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยจะเป็นคนเลือก College ให้เองค่ะ
- บาง College ที่เป็นที่นิยมมากๆ ก็เต็มไวค่ะ เพราะฉะนั้นเลือกก่อนมีสิทธิ์ก่อนนะคะ
นอกจากเรื่อง Collegiate System ของมหาวิทยาลัยที่ถือเป็น Highlight ของเค้าแล้ว สิ่งที่ทำให้นักศึกษาจากทั้งในอังกฤษและนักเรียนต่างชาติกว่า 150 ประเทศ เลือกมาเรียนที่ Durham ก็เป็นเพราะความแข็งของการเรียนการสอนของที่นี่นั่นเองค่ะ อย่างที่กล่าวไปว่าอันดับของ Durham นั้นอยู่สูงมาตลอดเวลากว่า 100 ปีและไม่มีทางที่จะลดลง ทั้งคณาอาจารย์ เจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยและนักศึกษาทุกคน ถือว่าเป็นระดับหัวกระทิของประเทศ ตั้งแต่ก้าวแรกที่ได้มาเยี่ยมชมมหาวิทยาลัย ก็รู้สึกได้ถึงความขลังและความเก๋าเลยล่ะค่ะ คณะที่น้องๆ คนไทยนิยมมาเรียนที่นี่มากที่สุด ก็คงหนีไม่พ้นคณะบริหารธุรกิจ (Business Management, Marketing, MBA) การเงิน (Finance) และเรียนต่อกฎหมาย (LLM) เนื่องจาก LLM ที่นี่ได้รับการรับรองจาก กต. เพื่อสอบสนามจิ๋วค่ะ เกรดที่เค้ารับก็ตั้งแต่ GPA 3.25 ขึ้นไปสำหรับปริญญาโท แต่ถ้าน้องๆ คนไหนเกรดไม่ถึง ก็สามารถไปเรียนปรับเกรดกับโปรแกรม Pre-master ได้นะคะ เพราะเรียนในมหาวิทยาลัยเลย รับตั้งแต่ GPA 2.30 และ IELTS 5.5 ขึ้นไป (หากไม่ถึง สามารถไปเรียนปรับได้)
ส่วนในระดับปริญญาตรี คณะที่ได้รับความนิยมไม่แพ้คณะด้านบนเลย ก็คือ Engineering และ PPE (Philosophy, Politics and Economics) ค่ะ ที่นี่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมมากกกกก หากจบ ม.5 GPA 2.50 หรือ ม.6 GPA 2.00 หรือ IGCSE ก็สามารถไปเรียนโปรแกรม International Foundation ของมหาวิทยาลัยได้ค่ะ
การเดินทางจากประเทศไทยไปที่ Durham ไม่ยากค่ะ สำหรับน้องๆ ที่เดินทางไปเอง พี่หนิงเลือกเดินทางโดยสายการบิน Emirates จากสนามบินสุวรรณภูมิไปลงที่ Dubai แล้วไปต่อที่เมือง Newcastle เลย หลังจากนั้นก็นั่งรถไฟจากสนามบิน Newcastle ไปลงที่ Train Station ในตัวเมืองและนั่งรถไฟต่อไปที่ Durham ห่างกันแค่ 1 ป้ายรถไฟค่ะ ใช้เวลาแค่ 15 นาทีเท่านั้นเอง ใกล้และสะดวกมากๆ ตั๋วรถไฟเราสามารถเข้าไปจองในเว็บไซต์ Trainline.com ไว้ล่วงหน้าได้เลย จาก Durham Train Station ไปถึงใจกลางเมือง ใช้เวลาแค่ 10 นาทีโดยรถแท็กซี่ค่ะ
แต่ถ้าน้องๆ ไม่สะดวกเดินทางไปเอง ทางมหาวิทยาลัยก็มีบริการ Airport Pickup Service นะคะ โดยจะมีเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยไปเจอเราที่ Newcastle Airport เลยและพาเราไปที่ College ของเรา ค่าบริการเพียง 30 ปอนด์ต่อคน แต่ต้องจองล่วงหน้าก่อนเดินทางประมาณ 1-2 สัปดาห์นะคะ แนะนำเลยว่าควรใช้บริการนี้หากเราเดินทางครั้งแรกค่ะ
ตอนที่พี่หนิงไปเยี่ยมมหาวิทยาลัย ได้ไปชมทั้งหมด 3 Colleges ด้วยกัน ก็คือ Collingwood, St. Mary’s และ University College ค่ะ รวมถึงคณะอื่นๆ อีกนิดหน่อย
Collingwood College
มาเริ่มกันที่ Collingwood College ที่นี่จะมีสมาชิกเยอะสุด เด่นมากด้านกีฬา มีโรงหนัง 200 ที่นั่ง มีบาร์ ลานเบียร์ พื้นที่ส่วนกลาง คาเฟ่ ห้องฟิตเนสที่ใหญ่ที่สุด ห้องสตูดิโอไว้ออกกำลังกาย (โยคะ เต้น ฯลฯ) สนามเทนนิส สนามฟุตบอล สตูดิโออัดเสียง โรงละคร และโรงอาหารขนาดใหญ่
ด้านหน้าตึก Collingwood College
ด้านหน้า Reception ของตัว College
ภายในโถงทางเดินใน College จะมีรูปศิษย์เก่าของแต่ละรุ่นติดไว้ด้วยค่ะ
ไล่มาตั้งแต่ภาพขาว-ดำ ถึงภาพสีกันเลยทีเดียว
ใน College มีส่วนกลางไว้ให้นักศึกษามาทำกิจกรรมหรือพักผ่อนหย่อนใจได้ที่นี่ค่ะ มี Café เล็กๆ ให้ด้วยค่ะ
Department of Engineering
มาต่อกันที่คณะ Engineering ค่ะ เจ้าหน้าที่เล่าว่าอุปกรณ์และเครื่องจักรทั้งหมดที่มหาวิทยาลัยใช้ เป็นเกรดเดียวกันกับที่บริษัทในอุตสาหกรรมรมใช้เองจริงๆ ทุกปีจะมีเจ้าหน้าที่จากบริษัทดังๆ ในอังกฤษมาเยี่ยมชมคณะ และเลือกนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยไปฝึกงานด้วย นอกจากจะได้ประสบการณ์ Connection แล้ว น้องๆ ยังได้ค่าจ้างด้วยนะคะ คุ้มสุดๆ
Durham Law School
นอกจากคณะ Engineering ที่ดังแล้ว Durham Law School ก็ดังไม่แพ้กันค่ะ ได้รับการจัดอันดับอยู่ที่ 114 ของโลก โดย Times Higher Education 2019 น้องๆ คนไทยนิยมมาเรียนที่นี่กันมากเพราะว่าได้รับการรับรองหลักสูตรจาก กต. เพื่อไปสอบสนามจิ๋วค่ะ
St. Mary College
College ต่อไป มีชื่อว่า St. Mary’s College ค่ะ ที่นี่เค้าก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1899 เป็น College แรกที่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงได้มีการศึกษาที่ดีขึ้น เนื่องจากในสมัยก่อนผู้หญิงจะถูกกีดกันในการเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย แต่ปัจจุบันได้รวมเป็นทั้งชายและหญิงแล้ว ตัวตึกด้านในมีเอกลักษณ์กับกำแพงสีแดง มีภาพความเป็นมาของ College แห่งนี้ติดอยู่ทั้งสองด้าน ตัว College จะไม่ได้ใหญ่มาก มีนักเรียนทั้งหมดประมาณ 1,100 คน ถือเป็น Community เล็กๆ ที่ไม่วุ่นวายและอบอุ่นค่ะ
Sport Facilities
มาต่อกันที่ Highlight อีกหนึ่งอย่างของการมาเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ นั่นก็คือ Sport Facilities ค่ะ ที่ Durham University บอกเลยว่าการเล่นกีฬาถือเป็นเรื่องที่เค้าจริงจังมากๆ ไม่แพ้การเรียนเลย ที่ Sport Centre ของมหาวิทยาลัยเพิ่งได้รับการสร้างและขยายใหม่ โดยใช้งบมากกว่า 6.7 ล้านปอนด์หรือประมาณ 30 ล้านบาท เพื่อยกระดับการกีฬาและการออกกำลังกายให้เป็นระดับสากล มีกีฬาเกือบทุกประเภทในโลกนี้เลยค่ะ ตั้งแต่แบดมินตัน บาสเกตบอล ฟุตบอล รักบี้ ฟันดาบ พายเรือ เทนนิส ลาครอส กอล์ฟ คริกเกต โปโลน้ำ รวมไปถึงฟิตเนสและโยคะ ดูจากรางวัล No. 1 Team Sport University ที่มหาวิทยาลัยได้รับในปี 2017 และติดอันดับ Top 3 ใน British Universities & College Sport (BUCS) League Table ทุกปี Team Durham Go Go Go!
Durham Business School
มาต่อกันที่คณะที่ถือว่าเป็นพระเอกของมหาวิทยาลัยนั่นก็คือ Durham Business School นั่นเองค่ะ ที่นี่ได้รับการรับรองมาตรฐานโดย AACSB, AMBA และ EQUIS (Triple Crown Accreditation) มีทั้งโปรแกรม MBA, MSc in Business Management, Marketing และคณะ Finance โปรแกรม MBA ได้รับการจัดอันดับอยู่ที่ 43 จากทั่วโลก โดย The Financial Times และอันดับที่ 4 ในสหราชอาณาจักร โดย The Economist ในปี 2017 ยังไม่รวมถึงรางวัลอื่นๆ ที่มหาวิทยาลัยได้รับในแต่ละสาขาวิชาทุกๆ ปี
University College
มาถึง College สุดท้ายที่เราไปเยี่ยมชมและที่นี่ถือว่าพิเศษมากๆ เพราะตั้งอยู่ที่ Durham Castle เลยค่ะ นั่นคือ University College หรือชื่อที่นักศึกษาทั่วไปเรียกกันว่า Castle ก่อตั้งขึ้นในปี 1832 เป็น College ที่เก่าแก่ที่สุดของมหาวิทยาลัย รับนักเรียนเพียง 700 คน (ปริญญาตรีเท่านั้น) และมีนักเรียนเพียง 150 คนเท่านั้นที่ได้พักอาศัยอยู่ในตัว Castle ถือเป็น College ที่คนสมัครมามากที่สุดเลยก็ว่าได้ มีทั้งความเก่าแก่ ชื่อเสียงและที่ตั้งใจกลางเมือง Durham City เลย พี่หนิงมาเดินตอนกลางคืน ก็ยังรู้สึกว่าสวยมากกก ขลังสุดๆ ค่ะ >w<
Durham University International Study Centre
มาถึงที่สุดท้ายก่อนที่เราจะไปดูบรรยากาศในเมืองกัน ก็คือที่ Durham University International Study Centre ค่ะ ที่นี่ตั้งอยู่ที่ Queen’s Campus ซึ่งจะออกมาจากตัวเมือง Durham ประมาณ 45 นาทีโดยการขับรถค่ะ ที่นี่เป็นที่ตั้งของเมือง Stockton-on-Tees ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ไม่วุ่นวายและสามารถเดินได้ทั่วทั้งเมือง แต่ถ้าไม่อยากเดินก็มีรถบัสให้นะคะ
ที่ International Study Centre หรือ ISC ทำหน้าที่เป็น International College ที่เปิดสอนคอร์ส Pathway ต่างๆ ทั้ง International Foundation Year หรือ Pre-Master ค่ะ น้องๆ ที่เรียนที่นี่สามารถพักหอพักของมหาวิทยาลัยได้เลย และมีรถไปรับที่สนามบิน เพราะฉะนั้นหายห่วงได้สำหรับน้องๆ ที่เดินทางครั้งแรกและกลัวว่าจะมาไม่ถูกนะคะ
สะพาน Infinity Bridge อยู่ข้างๆ ตึกเรียนเลยค่ะ สวยมาก
ทางเข้า Wolfson Building ตึกที่ตั้งของ International Study Centre
ภายใน Holiday Building ที่มีทั้งห้องประชุมและโรงอาหาร
ภายในหอพักนักเรียน
Durham City Centre
ปิดท้ายด้วยบรรยากาศภายในเมือง Durham ค่ะ ที่นี่เป็นเมืองเล็กๆ ที่ยังคงความคลาสสิกของเมืองอังกฤษสมัยก่อนไว้ได้อย่างครบถ้วน อารมณ์เหมือนอยู่ในซีรี่ย์ Game of Throne เลยค่ะ แม้จะไม่มีห้างใหญ่โตเหมือนเมืองใหญ่ๆ แต่ด้วยความที่ไม่ไกลจาก Newcastle มาก ก็สามารถนั่งรถไฟไปช็อปปิ้งได้นะคะ
ภาพบรรยากาศภายในเมืองตอน 8 โมงเช้า
ในเดือนพฤศจิกายน ฟ้ายังไม่สว่างหมดเลยค่ะ
รูปปั้นของ Marquess of Londonderry ใจกลาง Market Place
ทหารกล้าและผู้ใจบุญที่ช่วยเหลือเมือง Durham ในอดีต
จบไปแล้วกับการรีวิวอีกหนึ่งมหาวิทยาลัยที่ได้ไปเยี่ยมชมมานะคะ ส่วนตัวรู้สึกประทับใจมากในความขลังของมหาวิทยาลัย ความกระตือรือร้นของนักเรียนที่นี่ ชื่อเสียงและความเก่าแก่ ไม่แปลกใจเลยที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้รับการยอมรับไปทั่วโลก นักเรียนที่เรียนจบจากที่นี่ก็มีความภูมิใจมากรวมไปถึงคณาจารย์ทุกท่าน แม้ว่าที่นี่อาจจะไม่ได้เป็นเมืองใหญ่ ไม่ได้เป็นเมืองที่หวือหวา แต่คุณภาพคับแก้วแน่นอนค่ะ
หากน้องๆ สนใจเรียนต่อที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นระดับปริญญาตรีหรือปริญญาโท สามารถติดต่อพี่ๆ EFL UK ได้เลยนะคะ สำหรับมหาวิทยาลัยหน้าที่เราจะได้ไปเยี่ยมชมจะเป็นที่ไหนนั้น อย่าลืมติดตามกันนะคะ สวัสดีค่า 😀