UK University Review Vol.1 University of Reading
ข้อมูลเรียนต่อปริญญาตรีข้อมูลเรียนต่อปริญญาโท
สวัสดีค่ะน้องๆ วันนี้พี่หนิงจะมารีวิวมหาวิทยาลัยให้ดูกันค่ะ พี่ได้รับเกียรติเป็นตัวแทนจาก EFL ที่ได้รับการเชิญจากมหาวิทยาลัยหลายแห่งในอังกฤษให้ไปเยี่ยมชมวิทยาเขตต่างๆ เป็นเวลา 10 วัน จะมีมหาวิทยาลัยอะไรบ้างนั้น ไปดูกันเล้ย
มหาวิทยาลัยแรกที่เราจะพาไปชมกันก็คือ University of Reading หรือมหาวิทยาลัยเรดดิ้งค่ะ ถือเป็นมหาวิทยาลัยอีกแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงอย่างมากทั้งในอังกฤษเอง แล้วก็ในไทย โดยเฉพาะคณะบริหารธุรกิจหรือ Henley Business School ที่ได้รับความนิยมอย่างมากกกกกกกก (ก.ไก่ล้านตัว) รวมไปถึงคอร์สเรียนด้าน Finance ที่ ICMA Centre ที่มีน้องๆ คนไทยสนใจไปเรียนอย่างล้นหลามทุกปี แต่จริงๆ ที่นี่ยังมีคอร์สเรียนอื่นๆ ที่อันดับดีมากเป็นลำดับต้นๆ ของประเทศเลย เช่น จิตวิทยา (Psychology) การเกษตร (Agriculture) และ Food Science ค่ะ
เริ่มตั้งแต่การเดินทางไปที่ประเทศอังกฤษ พี่เลือกเดินทางโดยสายการบิน Emirates ค่ะ เพราะว่าราคาไม่สูงมาก แล้วก็ได้พักเครื่องด้วย เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบนั่งนานๆ แต่ชอบไปเดินเล่นมากกว่าค่ะ 5555 โดยเราจะบินออกจากสนามบินสุวรรณภูมิตอนประมาณตี 1 เพื่อเดินทางไปยัง Dubai ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง หลังจากพักเครื่องประมาณ 2 ชั่วโมง ก็เดินทางกันต่อไปยังสนามบิน Heathrow ที่ประเทศอังกฤษโดยใช้เวลาอีกประมาณ 8 ชั่วโมง รวมๆ เนี่ย จะใช้เวลาประมาณ 16-17 ชั่วโมงค่ะ เดินทางข้ามทวีปกันเลยทีเดียว ^^
Tips: เวลาที่ประเทศอังกฤษกับที่ไทยห่างกันประมาณ 6 ชั่วโมงตั้งแต่เดือนมีนาคม จะเรียกช่วงนี้ว่า BST (British Summer Time) และจะห่างกัน 7 ชั่วโมงตั้งแต่เดือนตุลาคม เรียกว่า GMT หรือ Greenwich Mean Time ค่ะ เนื่องจากเหตุการณ์ออมแสงหรือที่เรียกว่า Daytime Light Saving นั่นเอง
สายการบินอื่นๆ ที่น้องๆ สามารถบินมาอังกฤษได้จริงๆ มีเยอะมากค่ะ อยู่ที่ว่าเราอยากจะเปลี่ยนเครื่องที่ไหน ไม่ว่าจะเป็น Etihad (เปลี่ยนที่ Abu Dhabi), Qatar (เปลี่ยนที่ Doha ค่ะ) แต่ถ้าน้องๆ คนไหนชอบบินปรู๊ดเดียวถึงอังกฤษเลย ก็มีสายการบินที่บินตรงเหมือนกันนะคะ เช่น การบินไทย, EVA และ British Airways ค่ะ รายละเอียดเกี่ยวกับสายการบิน คลิ๊ก
เตรียมเช็คอินกันก่อนเลย
Tips: ควรมาถึงสนามบินก่อนเวลาบินอย่างน้อย 3 ชั่วโมงเสมอ และอย่าลืมเช็คอินออนไลน์ทุกครั้งก่อนบิน เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าแถวที่บางครั้งยาวมากๆ เมื่อมาถึงแล้ว เราสามารถ Drop กระเป๋า แล้วก็รับ Boarding Pass เตรียมเข้าเกตได้เลย ประหยัดเวลาช็อปปิ้งได้เยอะเลยค่ะ
เครื่องบินรุ่น A380 สายการบิน Emirates
หากบินกับ Emirates เราจะมาลงที่ Terminal 3 จากทั้งหมด 5 Terminal ค่ะ ให้ยึดป้าย Arrival เอาไว้เพื่อจะเดินไปที่ ต.ม. หรือแผนกตรวจคนเข้าเมืองนั่นเอง
ยินดีต้อนรับสู่ Heathrow Airport – Terminal 3
ขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่เครื่องลง
เดินตามๆ เค้าไปค่ะ 555
Tips: ต.ม. คือจุดที่เราจะต้องคุยกับเจ้าหน้าที่ว่าเรามาทำอะไรที่อังกฤษ ไปพักที่ไหน จะอยู่นานเท่าไหร่ ซึ่งเจ้าหน้าที่บางคนก็จะใจดี บางคนก็จะหน้าตาโหดๆ ค่ะ 555 แต่ไม่ต้องกลัวไป เพราะมันเป็นหน้าที่ของเค้าที่จะต้องมีความเข้มงวดในการคัดคนเข้าประเทศค่ะ หากน้องๆ กลัวว่าจะฟังเจ้าหน้าที่ไม่ทันหรือฟังไม่เข้าใจ ให้ตั้งสติและเตรียมเอกสารการเรียนของเราให้พร้อมค่ะ เช่น CAS, Offer Letter, IOM Certificate นำติดตัวขึ้นเครื่องไปด้วยเลยนะคะ อย่าลืมกรอก Landing Card ที่เจ้าหน้าที่แจกให้ตอนอยู่บนเครื่อง และปิดเสียงมือถือเปิดสั่นให้เรียบร้อยและห้ามถ่ายรูปบริเวณนี้ค่ะ
หลังจากผ่าน ต.ม. กันมาแล้ว ก็ไปรับกระเป๋า เตรียมเดินทางไปยังเมือง Reading กัน
มีร้านขาย Sim Card ตรง Arrival Hall เลยค่ะ
ตู้ ATM ก็มีจ้า
พี่หนิงเลือกเดินทางไปที่ Reading โดยการนั่งรถโค้ชค่ะ เนื่องจากสะดวกเพราะเราสามารถขึ้นรถที่สนามบินได้เลย ค่าตั๋วถูกมากๆ แล้วก็สามารถจองตั๋วผ่านเว็บออนไลน์ตั้งแต่อยู่ที่เมืองไทยได้เลย ง่ายมากๆ >w<
Tips: ตอนจองตั๋วรถโค้ชมาลงที่ Reading ต้องเลือกสถานี RailAir นะคะ อย่าเลือกผิดน้า
เดินจาก Terminal 3 มาที่ Heathrow Central Bus Station ไม่ไกลกันมากค่ะ
หน้าตาของเจ้าเครื่องออกตั๋ว
กรอกรหัสที่ได้จากเมล์ มันก็จะปริ้นตั๋วออกมาให้ได้เลย
หน้าตาของตั๋วประมาณนี้
เดินออกประตูมา จะเป็นท่ารถหมอชิตบ้านเรา 555 >w<
เจ้าหน้าที่เค้าจะยกกระเป๋าให้เอง เราสามารถเดินขึ้นไปนั่งบนรถ ชาร์จแบตโทรศัพท์ ต่อ Wi-fi บนรถได้เลยค่ะ
ถึงแล้ววว เค้าจะมาจอดที่สถานีรถไฟประจำเมืองหรือ Reading Railway Station ค่ะ การเดินทางใช้เวลาประมาณ 53 นาที
ป้ายหน้า Reading Station จ้าา
มีจักรยานให้เช่าด้วยน้า ดูรักสุขภาพ รักษ์โลกไปอีก 😀
ฝั่งหน้าสถานีรถไฟ
สถานีรถไฟส่วนที่เป็นตึกใหม่
จากตรงนี้พี่หนิงเลือกที่จะนั่ง Taxi ไปที่มหาวิทยาลัยเพราะว่ามีสัมภาระแล้วก็ไม่อยากหลงทางด้วย 555 ใช้เวลาจากสถานีมาที่มหาวิทยาลัยประมาณ 10 นาที ค่ารถไม่เกิน 10 ปอนด์ค่ะ ถือว่าถูกม๊ากกก
โบสถ์เก่าๆ แบบคลาสสิกก็มีอยู่เหมือนกันค่ะ
เห็นป้ายมหาวิทยาลัยแล้ว
ร้านค้าต่างๆ มีทั้งร้านตัดผม ธนาคาร Supermarket ตรงข้ามมหาวิทยาลัยค่ะ
ที่พักของเราจะเป็นโรงแรมของมหาวิทยาลัยเองชื่อว่า Cedars ค่ะ ตั้งอยู่กลางมหาวิทยาลัยเลย หากใครมีคุณพ่อคุณแม่ไปส่ง ก็สามารถจองที่พักที่นี่ได้ค่ะ อยู่ใกล้มากและก็ราคาไม่แพงด้วย
รูปตึก Reception ของโรงแรมค่ะ ต้องมาเอากุญแจที่นี่ก่อนถึงจะเข้าห้องได้นะคะ
ห้องนอนของเราคืนนี้ อร๊างงงงง
เช้าที่สดใสกับอาหารเช้าที่โรงอาหารของมหาวิทยาลัยข้างๆ โรงแรม
โรงอาหารใหญ่มากกกก ที่สำคัญอาหารเช้าอร่อยอยู่ค่ะ
ทางเข้าโรงอาหาร Eat at the Square
ร่มรื่นมาก ดอกไม้สวยๆ ทั้งนั้นเลย
แต่งตัวไม่เข้าธีมอย่างแรง 555
บรรยากาศรอบๆ มหาวิทยาลัย ด้นไม้เยอะมาก ร่มรื่นสุดๆ พื้นที่มหาวิทยาลัยก็กว้างมากๆ ค่ะ
เดินเหนื่อยเลย 5555
Henley Business School
มาถึงคณะแรกที่เราจะพาเข้าไปชมกัน จะเป็นที่ไหนไม่ได้นอกจากพระเอกคนนี้ Henley Business School นั่นเองค่ะ ถือว่าเป็นคณะที่สอนทุกอย่างเกี่ยวกับบริหารไม่ว่าจะเป็น MBA, International Management, International Marketing, Digital Marketing, Real Estate, Entrepreneurship เป็นต้น น้องๆ สามารถเข้าไปดูข้อมูลเต็มๆ ที่ลิ้งนี้ได้เลยค่ะ คลิ๊ก
ตึกเรียน Henley กับ ICMA อยู่ข้างๆ กันเลย ตั้งเด่นเป็นสง่า
Henley Business School
ป้ายหน้าตึก Henley Business School ค่ะ
ภายในของตึก สวยมาก Modern มาก
แผนที่ชั้น 1 ค่ะ
สำหรับนักเรียน MBA จะมีห้องเรียนส่วนตัวให้ด้วยค่ะ ไฮโซสุดๆ
มีห้องสมุดขนาดเล็กของคณะอยู่ด้วยค่ะ Academic Resource Centres หรือ ARC
ตัวตึกมีทั้งหมด 3 ชั้นค่ะ
ICMA Centre
มาดูตึก ICMA ของคณะ Finance กันบ้าง สวยไม่แพ้กันเลย 😀
ด้านหน้ามี Coffee Shop เล็กๆ ให้มานั่งดื่มชากาแฟ พูดคุยกันได้ค่ะ
ขึ้นบันไดตามมาเลยค่ะ
ห้อง Dealing Room ที่ถือเป็นหัวใจของการเรียน Finance
มีหลายเครื่องเลยค่ะ
ทดลองเรียนเทรดหุ้นกันเหมือนอยู่ในตลาดหุ้นจริงๆ เลย
ห้องฟัง Lecture ของคณะ
ป้าย Thomson Reuters
มีเครื่อง Trade ของ Thomson Reuters และ Bloomberg กว่า 100 เครื่อง
หน้าห้อง Thomson Reuters
อีกมุมพักผ่อนของคณะ มานั่งพูดคุยกับเพื่อนๆ หรืออาจารย์ได้ค่ะ
รูปศิษย์เก่าของคอร์สต่างๆ บางอันก็คนเยอะ บางอันก็คนน้อยค่ะ
Palmer Building ที่เปรียบเสมือนที่นัดพบกับเพื่อนๆ เพราะมีคาเฟ่และ Student Unions อยู่ที่นี่
คลับของมหาวิทยาลัยก็มีนะคะ เท่ไปเลย
Student Officers
คณะกรรมการนักศึกษาประจำปี
ร้านขายของเอเชียในมหาวิทยาลัยก็มีนะคะ ไม่ต้องไปหาที่ไหนไกล
ด้านหน้าตึก Palmer
ในวันที่อากาศดี น่านั่งเล่น นั่งอ่านหนังสือ ทำกิจกรรมกับเพื่อนๆ เป็นที่สุด เจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยเล่าว่าในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ก็จะมีตลาดเล็กๆ มาเปิดด้านหน้าตึก Palmer Building ให้นักเรียนได้มาเดินเล่น ซื้อของกันค่ะ
เรากำลังเดินไปที่ตึก Agriculture กันค่ะ เดินไปทางทะเลสาบ Whiteknights Lake ชื่อเดียวกันกับชื่อวิทยาเขตแห่งนี้
บรรยากาศดีสุดๆ
มีเดินผ่านตึกคณะอุตุนิยมวิทยากับคณะจิตวิทยาด้วย
School of Agriculture, Policy and Development
ถึงแล้ววว!!! ตึกคณะเกษตรศาสตร์
คณะเกษตรของที่นี่บอกเลยว่าไม่ธรรมดากับรางวัลอันดับ 1 ในสหราชอาณาจักรและอันดับ 6 ของโลกโดย QS World Ranking 2018 แถมยังติดอันดับสูงๆ แบบนี้ติดต่อกันมาหลายปีแล้วด้วย เคล็ดลับที่ทำให้คณะประสบความสำเร็จมาก เพราะมหาวิทยาลัยมีการทำงานวิจัยที่เข้มข้นและสนับสนุนให้นักเรียนเข้าไปทำงานในสถานที่จริงกันเลย นักศึกษาจะมีโอกาสได้ฝึกงานกับบริษัทท้องถิ่นหรือบริษัทในยุโรปที่มหาวิทยาลัยมี Connections ด้วย วิสัยทัศน์หลักของคณะ คือ การผลิตอาหารจากทรัพยากรที่เป็นประโยชน์ ไม่ทำลายระบบนิเวศน์ เพื่อโลกของเราจะมีทรัพยากรให้ใช้กันไปอีกนานๆ ฟังแล้วรู้สึกยิ่งใหญ่มากเลยล่ะค่ะ
Faculty of Food and Nutritional Sciences
มาต่อกันที่คณะสุดท้ายที่ค่อนข้างจะเกี่ยวเนื่องกับคณะเมื่อกี้ก็คือคณะ Food Science ค่ะ ที่นี่จะเห็นได้ว่ามีการทำวิจัยเกี่ยวกับอาหารเยอะมาก คอร์สที่คณะเปิดสอนจะมีทั้ง Food Science, Nutrition, Food Technology และ Sustainable Food Quality for Health ซึ่งก็จะมีความแตกต่างกันไปค่ะ ถ้าหากน้องๆ อยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับคณะเหล่านี้เพิ่มเติม ก็สอบถามมายังพี่ๆ EFL UK ได้นะคะ
ผลงานการวิจัยโดยคณาจารย์และนักศึกษาของที่ Reading มีติดไว้ตลอด Hallway เลยค่ะ เยอะมาก
มีห้องแล็ปไว้ให้นักเรียนได้มาทดลองกันด้วย มีห้องวิจัยสำหรับนักเรียน PhD ด้วยค่ะ
อันนี้จะเป็นส่วนของเครื่องจักรที่เกี่ยวกับขั้นตอนการผลิตอาหารต่างๆ อุปกรณ์ที่ใช้จะเหมือนกับบริษัทในอุตสาหกรรมอาหารใช้จริงๆ เลยค่ะ ต้องมีการฆ่าเชื้อและใส่หมวกกับผ้าคลุมเพื่อความสะอาดด้วย เจ๋งสุดๆ ไปเลย มีทั้งการพาสเจอไรส์นม ขนมปัง การทำยีสต์ รายละเอียดปลีกย่อยจะเยอะมากๆ ค่ะ
มอบของที่ระลึกให้กับเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยคนสวยที่พาเราชมมหาวิทยาลัยในวันนี้ <3
Reading Bus
สิ่งสุดท้ายที่จะมารีวิวกันในวันนี้ก็คือเจ้ารถเมล์ของเมือง Reading ค่ะ เนื่องจากอังกฤษเนี่ยมีหลายเมืองมากๆ และเมืองแต่ละเมืองก็จะมีเครือข่ายรถเมล์เป็นของตัวเอง ที่ Reading ก็เช่นกัน จริงๆ มีหลายสายมาก แต่สายที่สำคัญที่สุดจะชื่อว่า claret 21 21a เป็นรถสีชมพูเข้มๆ อมเลือดหมูสวยงามแบบนี้ ที่จะเข้ามาจอดรับน้องๆ กลางมหาวิทยาลัยเลย แล้วก็จะจอดที่จุดสำคัญๆ ต่างๆ เช่น The Oracle ห้างสรรพสินค้าหลักของเมือง Reading, Broad Street Mall แล้วก็สถานีรถไฟ Reading Railway Station ค่ะ
มี Free wifi บนรถบัสด้วยค่ะ
รถเมล์เป็นแบบสองชั้น มีที่ยืนกว้างขวาง เอากระเป๋าเดินทางขึ้นมาได้ไม่มีปัญหาค่ะ ไ
ปทั่วเมืองใช้เวลาไม่เกิน 30 นาทีค่ะ สะดวกมากๆ
สำหรับนักเรียนที่มาเรียนที่ประเทศอังกฤษจะสามารถซื้อตั๋วรถเมล์แบบราคานักเรียนได้นะคะ บางทีซื้อแบบเป็นปีก็ได้ถูกกว่า หรือจะใช้บัตร Railcard 16-25 ก็ได้ วิธีการจ่ายเงินค่ารถก็มีหลากหลายมาก ทั้งจ่ายด้วยเงินสด จ่ายผ่าน Application, บัตรธนาคารแบบ Contactless หรือแบบ Smartcard เอง เรียกได้ว่ารายละเอียดเยอะม๊าก ถ้าน้องๆ คนไหนอยากทราบข้อมูลแบบละเอียด สามารถขอข้อมูลกับพี่ๆ EFL UK ได้เลยนะคะ
จบกันไปแล้วกับการรีวิวมหาวิทยาลัยแรกกับ University of Reading พี่หนิงจะไปรีวิวมหาวิทยาลัยที่ไหนต่อ อย่าลืมมาติดตามอ่านกันนะคะ วันนี้ลาไปก่อน สวัสดีค่ะ 🙂